ชุดเดรส เป็นเสื้อผ้าที่ผู้หญิงหรือเด็กหญิงมักสวมใส่ ซึ่งเป็นเสื้อผ้าชิ้นเดียวที่มีกระโปรงยาวเท่าใดก็ได้ และสามารถเป็นทางการหรือลำลองก็ได้ อีกทั้งเดรสยังมีสีที่ต่างกัน วันนี้ เว็บผู้หญิง minebeauty เลยจะพาทุกคนมาดูว่าชุดเดรสแต่ละทรงเรียกว่าอะไรกันบ้าง
ชื่อเรียกและลักษณะของทรง ชุดเดรส
- Aline Dress เดรสยอดนิยม ซึ่งทรงเดรสนี้จะมีจุดสังเกตเฉพาะได้จากส่วนบนของชุดนั้นจะเป็นแบบพอดีตัว จนถึงช่วงเอว หลังจากนั้นค่อย ๆ ขยายออกจนถึงชายกระโปรง
- Tunic Dress ชุดเดรสนี้จะออกแนว oversize ใส่สบาย ซึ่งปลายชายกระโปรงนั้นอาจจะสิ้นสุด อยู่ตรงช่วงสะโพก หรือเหนือหัวเข่าเล็กน้อย ซึ่งเดรสลักษณะนี้ สามารถใส่เป็นชุดเดรส หรือใส่เป็นเสื้อตัวบน ซึ่งส่วนใหญ่จะใส่แมกช์กับกางเกงเลคกิ้ง
- Blouson Dress ชุดนี้จะสังเกตได้จากช่วงเอวนั้นจะเป็นแบบยางยืด หรือจั้มเอว ซึ่งเวลาสวมใส่ทำให้ส่วนบนดูหลวม ส่วนล่างจะพอดีตัว
- Shirt Dress เดรสชนิดนี้จะคล้ายทรงของเสื้อเซิ๊ต ช่วงคอจะเป็นแบบมีปก และด้านหน้าจะมีกระดุมติดถึงช่วงเอว หรือจนถึงชายกระโปรง ซึ่งในบางแบบอาจจะมีกระเป๋าด้วย
- Wrap Dress ชุดเดรส นี้จะมีลักษณะนำผ้าทั้งสองด้านมาทบกันด้านหน้า ซึ่งด้วยลักษณะของชุดทำให้ช่วงคอของชุดเป็นแบบคอวี ซึ่งบางแบบจะมีสายผูกเอวให้ด้วย
- Baby Doll Dress เป็นชุดเดรส หวาน ๆ น่ารัก ซึ่งส่วนบนของชุดจะเป็นทรงแบบพอดีตัวจนถึงช่วงเอว หลังจากนั้นช่วงล่างจะขยายออก โดยความยาวของชุดเดรสนั้นจะอยู่เหนือเข่าขึ้นไป
- Body con dress แฟชั่น เดรสชนิดนี้ออกแบบทรงของชุดให้เข้ารูปกับหุ่นของผู้สวมใส่ ซึ่งเวลาสวมใส่จะทำให้โชว์สัดส่วนได้อย่างชัดเจน ตัวชุดนั้นจะมีความยาวเหนือหัวเข่าขึ้นไป และเนื้อผ้าที่ใช้จะเป็นผ้ายืด
- debuntante dress เดรสนี้จะมีความคล้ายคลึงกับชุดเจ้าสาวที่นิยมแต่งกันในปัจจุบัน โดยตัวชุดนั้นจะเป็นชุดสีขาวยาวจรดพื้น พร้อมสร้อยไข่มุก และสวมใส่ถุงมือสีขาวด้วย
- Skater Dress ช่วงลำตัวของชุดนั้นจะเป็นแบบเข้ารูป ซึ่งส่วนกระโปรงนั้นจะเป็นแบบกระโปรงทรงกลม ซึ่งเวลาจับกระโปรงออกนั้นจะคล้ายกับรูปวงกลม และความยาวของชุดจะอยู่เหนือหัวเข่าขึ้นไป
- Pinafore Dress ลักษณะของชุดเดรสทรงนี้จะผสมผสานกันระหว่าง ชุดกระโปรงกับผ้ากันเปื้อน และส่วนล่างของชุดจะเป็นแบบกระโปรง ตัวชุดนี้มักที่จะสวมใส่พร้อมกับ เสื้อตัวบน เช่น เสื้อยืด เสื้อกล้าม หรือเสื้อเบลาส์ เป็นต้น
- Granny Dress เดรสชนิดนี้จะมีรูปทรงแบบหลวม แขนยาว ความยาวของชุดจะยาวต่ำกว่าหัวเข่า จนถึงข้อเท้า ปัจจุบัน ผู้หญิงที่มีอายุยังคงนิยมสวมใส่อยู่ เนื่องจากเนื้อผ้าเบาบาง และตัวทรงที่เป็นแบบหลวม จึงทำให้เวลาสวมใส่รู้สึกสบาย
- Tent Dress or Trapeze Dress มีลักษณะโป่งพอง โดยส่วนไหล่จะแคบสุด และค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนถึงชายกระโปรง ตัวเนื้อผ้าที่ใช้จะมีลักษณะพริ้วไหว
- Empire line Dress ชุดเดรส ชนิดนี้ช่วงเอวของชุดนั้นจะเริ่มจากทีใต้หน้าอก หรือมีการตกแต่งดีเทลของชุดช่วงใต้หน้าอกไม่ว่าจะเย็บเป็นเส้น ๆ รอบ ยางยืดรัด หรือส่วนเอวของชุดจะเริ่มจากใต้หน้าอก ซึงความยาวของชุดจะยาวลงถึงข้อเท้า
- Shift Dress ลักษณะของชุดส่วนแขนจะเป็นแขนกุด หรือแขนสั้น ความกว้างของชุดตั้งแตช่วงไหล่ จนถึงชายกระโปรง จะเท่ากันตลอด คล้ายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
- Drindle Dress ชุดเดรสตัวนี้เป็นเดรสที่นิยมสวมใส่ของผู้หญิงยุโรปในสมัยก่อน ซึ่งตัวชุดนี้จะเหมือนมีการปักผ้ากันเปื้อนไว้ที่ด้านหน้าของชุด
- Sheath Dress เดรสชนิดนี้จะตัดเย็บตัวชุดให้พอดีตัวไปกับผู้สวมใส่ และด้านหลังจะมีการทำซิปเพื่อให้เวลาสวมใส่ใส่ได้ง่าย ส่วนความยาวของชุดจะยาวเหนือหัวเข่า ซึ่งชุดนี้จะช่วยขับเน้นสัดส่วนของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี
- Low or drop waist Dress ชุดเดรสสั้น ทรงนี้จะมีการเย็บตะเข็บตรงตำแหน่งสะโพก คล้ายเหมือนเอวกระโปรง ซึ่งตรงส่วนชายกระโปรงนั้นจะมีลักษณะออกบาน ๆ ดูพริ้วไหว ซึ่งมีทั้งรูปบบจับจีบ เป็นแบบชายระบาย แบบผ้าซีทรู ฯลฯ
- Mermaid dress / Trumpet Dress เดรสชนิดนี้จะเข้ารูปตั้งแต่ส่วนบนจนถึงช่วงหัวเข่า หลังจากนั้นตัวกระโปรงจะขยายออกจนถึงชายกระโปรง หรือเหมือนรูปหางปลา ซึ่งความยาวของชุดจะยาวจนถึงตามตุ่ม หรือลากพื้น
- Maxi Dress ชุดเดรสยาว นี้มีลักษณะเข้ารูปในช่วงบนลำตัว ส่วนกระโปรงนั้นจะยาวจนถึงข้อเท้า หรือเหนือข้อเท้าเล็กน้อย ตัวเนื้อผ้าที่ใช้มักที่จะใช้ผ้าที่มีความพลิ้วไหว ซึ่งเวลาสวมใส่แล้วจะรู้สึกสบาย ทั้งยังโชว์ทรวดทรงของเราได้เป็นอย่างดี
- Swing Dress ชุดเดรสสั้น ชนิดนี้จะเข้ารูปช่วงบนสุด หลังจากนั้นจะขยายออกจนถึงชายกระโปรง โดยความยาวของชุดนั้นจะอยู่ช่วงหัวเข่า หรือเหนือหัวเข่าขึ้นไป