ฟื้นฟูสุขภาพผิว วิธีแก้ผิวไหม้แดด

อย่างที่เราทุกคนทราบกันดีว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่แดดแรง เนื่องจากภาพทางภูมิประเทศตั้งอยู่ในเขตร้อน ซึ่งทำให้ใครหลาย ๆ คน แม้ว่าจะทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านเป็นอย่างดีแล้ว แต่ถ้าหากต้องเผชิญกับแสงแดดอันร้อนแรงเป็นระยะเวลานาน ๆ เกินกว่า 15 นาที ก็จะต้องประสบพบเจอกับปัญหาผิวไหม้เกรียมแดด ด้วยเหตุนี้เราจึงมี วิธีแก้ผิวไหม้แดด วิธีการดูแลฟื้นฟูสภาพผิวจากปัญหาผิวไหม้เกรียมแดด ให้ฟื้นตัวกลับมามีสุขภาพผิวที่ดีได้อย่างง่ายดายด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้

1. วิธีแก้ผิวไหม้แดด ฟื้นฟูสภาพผิวด้วยว่านหางจระเข้ 

อย่างที่เราทราบกันดีว่า ว่านหางจระเข้นั้นเป็นสมุนไพรฤทธิ์เย็นที่มีคุณสมบัติดับพิษไฟ ซึ่งเรามักจะเอามาประคบผิวในเวลาที่เกิดน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้ แต่ในขณะเดียวกัน วิธีแก้ผิวไหม้แดด เราก็สามารถเอาว่านหางจระเข้มาฟื้นฟูสภาพผิวจากการโดดแดดเผาได้เหมือนกัน แถมยังมีงามวิจัยรองรับระบุว่า เนื้อวุ้นใส ๆ ในว่านห่างจระเข้นั้นยังมีสารที่สำคัญในการฟื้นฟูดูแลผิวหนัง และช่วยรักษาโรคผิวหนังหลายชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบ ผิวแห้งแตก และ ผิวไหม้แดด ซึ่งในว่านห่างจระเข้นั้นจะมีกรดซาลิซิลิก ซึ่งมีความสามารถในการยับยั้งแบคทีเรีย และช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวหนังใหม่ รวมถึงยังมีสารที่ช่วยสมานแผลที่เกิดกับผิวหนัง ซึ่งทั้งนี้เราสามารถใช้เนื้อวุ้นว่านหางจระเข้จากธรรมชาติ หรือจะใช้เจลว่านห่างจระเข้แบบ 100 % ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี หรือน้ำหอม

2. ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหนัง

การเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวหนัง ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการฟื้นฟูผิวหนังซึ่งถูกแดดไหม้ โดยเราควรเลือกผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอางค์ บำรุงผิวที่เพิ่มความชุ่มชื้น ซึ่งจะเป็นการป้องกันไม่ให้ผิวหนังลอก และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อผิวแพ้ง่ายโดยจะต้องทาบริเวณผิวที่ไหม้หลังอาบน้ำ เพื่อช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นและลดความระคายเคือง ทำให้ผิวหนังฟื้นฟูได้เร็วขึ้น

3. ชาดอกคาโมมายล์บรรเทาอาการผิวไหม้แดด

ชาดอกคาโมมายล์นั้นมีสรรพคุณช่วยบรรเทาผิวหนังเนื่องจากแดดไหม้ วิธีแก้ผิวไหม้จากแดด โดยเราแค่แช่ผงชาไว้ในน้ำร้อน จากนั้นรอให้เย็น แล้วใช้ผ้าขนหนูสะอาด ๆ จุ่มลงในน้ำชา เพื่อนำเอามาประคบกับผิวบริเวณที่เกรียมแดด แต่วิธีการนี้งดเว้นสำหรับผู้ที่มีอากาศแพ้เกสรดอกไม้ เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ได้

4. แช่ตัวในน้ำทะเลลดอาการอักเสบ

อาการอักเสบของผิวหนังที่สัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานานนั้นสามารถช่วยฟื้นฟูได้ด้วยการแช่ตัวในน้ำทะเล วิธีแก้ผิวไหม้แดด โดยอาจจะทำในเวลาเช้าหรือเย็นที่แสงแดดไม่แรงมากนัก รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำในสระที่มีสารคลอรีน เพราะอาจจะทำให้ผิวหนังเกิดอาการระคายเคืองได้ และไม่ควรใช้น้ำแข็งประคบลงบนผิวหนังที่ไหม้แดด เพราะน้ำแข็งจะเป็นตัวทำลายเซลล์ผิวให้เสียหายมากยิ่งขึ้น

5. แช่ตัวในน้ำที่ผสมสารบำรุงผิว

ควรแช่ตัวในอ่างอาบน้ำโดยผสมเบกกิ้งโซดา 2-3 ช้อนโต๊ะ หรือข้าวโอ๊ต 1 ถั้ว เป็นเวลา 15 – 20 นาที เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยฟื้นฟูและรักษาผิวหนังที่ไหม้เกรียมแดด โดยหลังแช่ตัวเสร็จแล้วควรใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับผิวให้แห้ง แต่ไม่ควรใช้เบกกิ้งโซดาหรือข้าวโอ๊ตขัดผิวโดยตรง เพราะจะทำให้ผิวถลอกและอักเสบได้

6. ดื่มน้ำมาก ๆ สร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง

ในช่วงของการที่ผิวหนังกำลังมีการฟื้นฟู สิ่งสำคัญที่ผิวหนังต้องการคือความชุ่มชื้น ดังนั้นจึงควรที่จะดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยควรจะดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มประเภท โชดา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้จะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากเป็นพิเศษ

7. สวมชุดหลวม ๆ ป้องกันการระคายเคือง

ควรเลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้หลวม ๆ มีความใส่สบาย ไม่ฟิตรัดติดผิวหนังมากเกินไป วิธีแก้ผิวไหม้แดด เพราะในขณะที่เซลล์ผิวกำลังฟื้นฟูตัวเอง อาจจะเกิดความระคายเคืองจากการเสียดสีของเสื้อผ้าได้ โดยควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำมาจากวัสดุเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย เพราะจะช่วยลดอาการระคายเคืองได้ดี

8. ถ้าเป็นตุ่มน้ำ อย่าเจาะเด็ดขาด

ในขณะที่ผิวหนังเกิดอาการไหม้เนื่องจากแสงแดด ในบางคนจะมีตุ่มน้ำใส ๆ ขึ้นที่ผิวหนัง ซึ่งถือเป็นกลไกปกติของร่างกายตามธรรมชาติที่เกิดขึ้น เพราะตุ่มน้ำใส ๆ จะช่วยป้องกันผิวหนังด้านล่างไม่ให้เกิดการระคายเคือง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ควรที่จะเจาะตุ่มน้ำให้แตก แต่ควรปล่อยให้ตุ่มน้ำแตกออกเอง หรือยุบไปเองตามธรรมชาติ และปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ ในขณะเดียวกันการเกิดตุ่มน้ำจากการที่ผิวหนังไหม้เกรียมแดด ถือว่ามีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา โดยอาจจะเกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดสีเมลานิน ดังนั้น ควรมีการปรึกษาแพทย์ ความงาม ผิวหนังเพื่อตรวจหาสาเหตุบ่งชี้ของมะเร็งผิวหนัง

9. งดออกแดดจนกว่าผิวจะหายดี

ในช่วงที่ผิวหนังกำลังฟื้นฟูนั้น วิธีแก้ผิวไหม้จากแดด สิ่งที่เราควรปฏิบัติคืองดการเอาตัวเองไปสัมผัสกับแสงแดดที่ร้อนจัด เพราะผิวหนังที่ไหม้เกรียมแดดจะบอบบางมีความอ่อนไหวไวต่อแสง ซึ่งจะก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย หรือหากจำเป็นโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็ควรที่จะมีการทาครีมกันแดดก่อนออกไปทำกิจกรรม และสวมเสื้อผ้ามิดชิดที่ป้องกันแสงแดดได้ดี และควรทาเจลว่านหางจระเข้ทันทีหลังออกแดด

จะต้องใช้เวลาฟื้นฟูผิวหนังนานเท่าไหร่ ?

คำถามนี้ถือเป็นปัญหาคาใจของใครหลาย ๆ คน ซึ่งก็ถือว่าตอบได้ยากเหมือนกัน เพราะระยะเวลาในการฟื้นฟูผิวหนังนั้นก็ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมประจำวัน การดูแลบำรุงผิว และระดับความเสียหายของผิวหนัง แต่โดยปกติสามารถคาดคะเนได้ ดังนี้

ผิวไหม้รุนแรงน้อย ซึ่งจะมีอาการแดงและเจ็บปวดอยู่ที่ประมาณ 3 – 5 วัด และหลังจากนั้นอาจจะมีอาการผิวลอกในช่วงสุดท้าย ซึ่งก็ไม่ต้องตกใจ เพราะถือเป็นการผลัดเซลล์ผิวใหม่แทนที่เซลล์ผิวเดิมที่เสียหาย

ผิวไหม้รุนแรงปานกลาง จะมีความเจ็บปวดมากกว่าปกติ โดยอาจจะบวมแดงและแสบร้อนเมื่อสัมผัส ซึ่งในระดับปานกลางนี้จะใช้เวลาฟื้นฟูประมาณ 1 สัปดาห์ กว่าที่ผิวจะกลับมาสู่สภาพปกติ โดยจะมีการลออกออกของผิวหนังในระยะสุดท้าย

ผิวไหม้รุนแรงมาก วิธีแก้ผิวไหม้จากแดด ซึ่งจะมีความเจ็บปวดแสบร้อนมาก และมีอาการแดงบวม หรือมีตุ่มน้ำที่ทำให้รู้สึกแสบร้อนไม่ต่างจากโดนน้ำร้อนลวก โดยผู้มีความรุนแรงในระดับนี้ควรที่จะไปพบแพทย์และรักษาตัวตามคำแนะนำของหมอ ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา 2 – 3 สัปดาห์ จึงจะหายกลับมาเป็นปกติ

วิธีสังเกตอาการผิวไหม้แดดที่ควรไปพบแพทย์

อย่างที่ได้กล่าวไปว่าในการที่ผิวไหม้แดดในระดับรุนแรงนั้น วิธีแก้ผิวไหม้แดด เราควรที่จะไปพบแพทย์ ซึ่งเราสามารถประเมินอาการของตัวเองในเบื้องต้นได้ว่าเป็นแบบไหนถึงเรียกว่ารุนแรง และควรไปพบแพทย์ ดังนี้

มีความรู้สึกเจ็บปวด แสบร้อน และผิวหนังพุพองแบบรุนแรง และในบางกรณีอาจจะมีไข้ หนาวสั่น หน้าบวม เวียนหัว ปวดหัว ปวดท้อง มึนงง รวมด้วย อันเป็นผลมาจากภาวะร่างกายขาดน้ำนั้นเอง

ซึ่งถ้าหากว่าใครมีอาการต่าง ๆ ตามที่ว่ามานี้ ก็สามารถประเมินได้เลยว่าเป็นอาการ ผิวไหม้แดด ในระดับรุนแรง ซึ่งควรที่จะไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาให้ทันท่วงที

ข้อควรปฏิบัติก่อนออกสัมผัสแดด

ควรปกป้องผิวด้วยสเปรย์เจลว่านหางจระเข้ทั้งก่อนและหลังการออกแดด นอกจากนี้ควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดด โดยเลือกครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันแสงแดด (SPF) ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป โดยจะสามารถป้องกันได้ทั้งรังสียูวีเอ (UVA) และยูวีบี (UVB) และถ้าหากต้องทำกิจกรรมอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน ๆ ควรที่จะมีการทาครีมซ้ำ ทุก ๆ 2 ชั่วโมง หรือถ้าหากต้องว่ายน้ำหรือทำกิจกรรมที่มีเหงื่อมาก ก็ควรที่จะทาครีมกันแดดบ่อยมากขึ้น และควรแต่งกายอย่างมิดชิด สวมหมวก และใส่แว่นกันแดด