เชื่อว่าหลายๆคนคงยังสับสนว่า โรคเอดส์ กับ HIV คือโรคเดียวกัน อยู่ที่คนจะเรียก แต่รู้หรือไม่ ว่าความจริงแล้ว สองโรคนี้ไม่เหมือนกัน เพราะคือคนละอย่างกัน วันนี้ minebeauty เลยจะมาให้ความรู้กับทุกคนกันว่า โรคเอดส์ กับ HIV ต่างกันอย่างไร เพื่อให้ทุกคนได้หายสงสัยและเข้าใจเกี่ยวกับทั้งสองโรคนี้กัน
โรคเอดส์ กับ HIV ต่างกันอย่างไร
- โรคเอดส์ กับ HIV ต่างกันอย่างไร Hiv คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะยึดจับและทำลายเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 เป็นสาเหตุที่ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หากไม่รับการรักษา ระดับ CD4 ลดต่ำลงเรื่อยๆ จะทำให้ป่วยเป็นเอดส์ได้
- โรคเอดส์ กับ HIV ต่างกันอย่างไร AIDS คือ คนที่ติดเชื้อ Hiv ที่มีระดับเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ต่ำกว่า 200 ระบบภูมิคุ้มกันและเม็ดเลือดขาวถูกทำลายจนไม่สามารถต้านทานโรค ได้ หรือเรียกว่า “ภูมิคุ้มกันบกพร่อง” ร่างกายจึงมีโอกาสติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย
ติดเชื้อ HIV ทางไหนได้บ้าง
- การมีเซ็กส์แบบสดกับคนที่มีเชื้อ hiv และติดผ่านทางสารคัดหลั่งต่างๆ เช่น เลือด น้ำเหลือง น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด น้ำนม ( HIV ไม่ติดผ่านน้ำลาย ปัสสาวะ น้ำตา หรือเหงื่อ)
- ติดผ่านเลือดโดยการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้มีเชื้อ HIV หรือได้รับเลือดจากผู้ที่มีเชื้อ HIV
- การติดจากแม่สู่ลูก การติดเชื้อระหว่างตั้งท้อง ระหว่างคลอด รวมถึงการให้นมบุตร
เชื้อ HIV มีกี่ระยะ
- ระยะแรก จะไม่ค่อยออกอาการมาก อยู่ในภาวะเริ่มติดเชื้อ
- ระยะที่ 2 เริ่มมีตุ่มขึ้นตามร่างกาย มีเชื้อราในปาก งูสวัด
- ระยะที่ 3 เป็นโรคเอดส์และมีการติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น เชื้อราขึ้นสมอง วัณโรค ต่อมน้ำเหลืองกระจายทั่วร่างกาย ปอดอักเสบ หรือเชื้อไวรัสขึ้นจอตาถึงขั้นตาบอด เป็นต้น
อาการของโรคเอดส์ กับ HIV
- อาการของโรคเอดส์กับ HIV นั้นมีความเกี่ยวเนื่องกัน เพราะผู้ที่ติดเชื้อ HIV จะมีอาการคล้ายกับคนเป็นไข้หวัด กล่าวคือ มีไข้ อ่อนเพลีย เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว แต่เมื่อเชื้อร้ายนี้ได้รุกคืบเข้าไปสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายจนไม่สามารถเยียวยาได้จะส่งผลให้ผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์ และเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคติดเชื้อในปอด โรคติดเชื้อในสมอง เป็นต้น
การรักษาการติดเชื้อ HIV และโรคเอดส์
- การรักษาอาการติดเชื้อเอชไอวีประกอบด้วยการใช้ยาต้านไวรัสในกลุ่ม ARV หลายชนิดรวมกันเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ วิธีการนี้เป็นการรักษาโรคโดยการควบคุมไวรัสไม่ให้ขยายพันธุ์ ทำให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อสู่คนอื่น ในปัจจุบันวงการแพทย์แนะนำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนรับการรักษาด้วย ยา ARV
เราจะทราบได้อย่างไรว่าติดเชื้อ HIV
- แนะนำให้มีการตรวจคัดกรองเอชไอวี ในการตรวจ สุขภาพ ประจำปี มีการตรวจคัดกรองการติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น เนื่องจากการตรวจพบการติดเชื้อเอชไอวีในระยะแรก จะช่วยให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดโรคเอดส์ได้ นอกจากนี้หากวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือ เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิซ หนองใน ควรตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งการตรวจทำได้อย่างรวดเร็วใช้เวลารอผลตรวจเพียง 2 ชั่วโมง